• หมวดหมู่
    • ล่าสุด
    • แท็ก
    • ฮิต
    • ผู้ใช้
    • กลุ่ม
    • ลงทะเบียน
    • เข้าสู่ระบบ
    1. หน้าแรก
    2. meesookho
    • รายละเอียด
    • ติดตาม 1
    • คนติดตาม 1
    • กระทู้ 15
    • โพสต์ 66
    • ดีที่สุด 30
    • มีข้อโต้แย้ง 0
    • กลุ่ม 2

    ดร.ชาติชาย มีสุขโข

    @meesookho

    นักวางแผนการเงิน CERTIFIED FINANCIAL PLANNER

    ผู้แนะนำการลงทุน หมายเลข 039299
    นักวางแผนการเงิน เลขคุณวุฒิ CFPTH120000003

    หัวข้อที่สนใจ

    • การจัดพอร์ตลงทุนเพื่อวัยเกษียณ
    • การเงินส่วนบุคคล ที่ครอบครัว 4 ด้าน ได้แก่ การบริหารรายรับรายจ่าย เงินออม, การบริหารหนี้, การลงทุน, และ การบริหารความเสี่ยง
    126
    ชื่อเสียง
    32
    ดูข้อมูลส่วนตัว
    66
    โพสต์
    1
    คนติดตาม
    1
    ติดตาม
    เข้าร่วม ออนไลน์ล่าสุด
    เว็บไซต์ www.mycmsk.com

    meesookho เลิกติดตาม ติดตาม
    CERTIFIED FINANCIAL PLANNER นักวางแผนการเงิน

    โพสต์ดีที่สุดที่ถูกสร้างโดย meesookho

    • RE: ทำไมคนถึงพูดว่าข้อสอบจรรยาบรรณ CFP M1 มันยาก ? มีเทคนิคแนะนำก่อนสอบมั้ยครับ ?

      @T_Anonymous เพิ่มเติมจาก @BeNZmT ครับ

      การทำสอบข้อสอบส่วนจรรยาบรรณให้ผ่าน ต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี ด้วยการทำความเข้าใจหลักการวิเคราะห์ตามที่อาจารย์แนะนำ การไปคิดเอาเองระหว่างการทำสอบนั้น ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง 😅เพราะสิ่งที่เราคิดอาจจะไม่สอดคล้องกับหลักการหรือเนื้อหาของจรรยาบรรณนั้นๆ เพราะจะมีเรื่องของการตีความด้วย (ถ้าเราตีความผิด ก็ผิดทาง) จึงต้องมีความพร้อมสำหรับแนวทางการตอบคำถามไปตั้งแต่ก่อนเข้าห้องสอบ คล้ายๆกับที่ @BeNZmT แนะนำไว้ครับ

      ผมแนะนำให้ทำส่วนของจรรยาบรรณก่อน ส่วนอื่นๆ เพราะมีความสำคัญมาก ถ้าไม่ผ่านก็คือตกเลย จึงควรใช้เวลาช่วงแรกที่เรายังสดชื่นอยู่ในการคิดวิเคราะห์ครับ

      เรามักจะอ้างถึงส่วนจรรยาบรรณซึ่งมี 21 ข้อ ว่าจรรยาบรรณเฉยๆ แต่ในความจริง แย่งออกเป็น จรรยาบรรณและความรับผิดชอบ 9 ข้อ และแนวทางปฏิบัติอีก 12 ข้อ
      แนวทางปฏิบัติจะเป็นเชิงกระบวนการทำงาน ซึ่งอยู่ในส่วนที่ 2 ของหนังสือจรรยาบรรณนะครับ มีหลายหน้าเลย ห้ามพลาดในการอ่าน ทำความเข้าใจ จากหนังสือ หรือใน เนื้อหาสรุประหว่างอบรมครับ

      โพสต์ใน Module 1 พื้นฐานการวางแผนการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • ความเครียดทางการเงินในที่ทำงาน

      ผลการสำรวจสุขภาพทางการเงินของพนักงานในองค์กรโดย PwC เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา จากพนักงานประจำ 3,638 คน ในประเทศอเมริกา พบว่ามีพนักงานถึง 60% ที่ต้องเผชิญกับความเครียดทางการเงิน ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่มีรายได้เกิน 100,000 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 3.5 ล้านบาทต่อปี) ที่เกือบครึ่งหนึ่ง (47%) ก็ยังกังวลในเรื่องการเงินเช่นเดียวกัน

      ผลกระทบของความเครียดนี้ส่งผลต่อสุขภาพจิต การนอนหลับ และความมั่นใจในตนเอง แม้นายจ้างจะมีผู้ให้บริการวางแผนการเกษียณอายุให้คำแนะนำ พนักงานยังต้องการที่จะได้รับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินที่เป็นกลางและไม่เกี่ยวข้องกับการขายผลิตภัณฑ์หรือแผนการเกษียณอายุของบริษัท

      ความเครียดทางการเงินไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาส่วนตัว แต่ยังส่งผลกระทบต่อสถานที่ทำงาน พนักงานที่มีความกังวลทางการเงินมักจะหลุดโฟกัสจากการทำงานมากขึ้น นำไปสู่การมีส่วนร่วมและผลผลิตในการทำงานที่ลดลง

      หนึ่งในสามของพนักงานยอมรับว่าความกังวลเรื่องเงินได้ส่งผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขา พนักงานที่มีความเครียดทางการเงินมีโอกาสสูงมากกว่าปกติถึง 5 เท่า ที่จะถูกรบกวนจากปัญหาทางการเงินส่วนตัวในขณะทำงาน ซึ่งในจำนวนนี้มีมากถึง 56% ที่ใช้เวลาสามชั่วโมงหรือมากกว่าต่อสัปดาห์ในช่วงเวลาทำงานจัดการหรือคิดเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินส่วนตัว ส่งผลให้มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่รู้สึกกระตือรือร้นในขณะทำงาน

      แต่ยังมีข้อดีที่พบว่าส่วนใหญ่ของพนักงานกำลังมองหาคำแนะนำทางการเงินอย่างจริงจัง ประมาณ 74% มองหาคำปรึกษาเมื่อเผชิญกับการตัดสินใจทางการเงิน โดยมี 68% ที่ใช้บริการ โค้ชชิ่ง สัมมนา และเครื่องมือออนไลน์ที่นายจ้างให้บริการ

      แม้ว่าข้อมูลนี้จะเป็นของพนักงานในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ก็สะท้อนให้เห็นผลกระทบของความเครียดทางการเงินต่อสุขภาพและชีวิตการทำงานของพนักงาน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าของกิจการ ผู้บริหาร ได้ตระหนักถึงแนวทางที่จะดูแลพนักงานให้มีชีวิตที่ดีขึ้นและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

      เพื่อนๆ คิดว่าสอดคล้องกับบ้านเราหรือเปล่าครับ?

      ข้อมูลจาก link นี้

      โพสต์ใน พื้นฐานการเงินส่วนบุคคล
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • 4 เสาหลักเพื่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

      4 เสาหลักเพื่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน

      ผมได้มีโอกาสศึกษาเรื่องการเงินส่วนบุคคลมายาวนานกว่า 15 ปี อ่านหนังสือทั้งภาษาไทยและอังกฤษที่เกี่ยวข้องร่วม 100 เล่ม ผ่านประสบการณ์ทำงานในอุตสาหกรรม ประกัน ลงทุน และการวางแผนการเงิน ทั้งในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพ วิทยากร ผู้ประกอบการ

      ได้เรียนรู้หลายแนวคิดที่คนนิยมกัน เช่น การมีอิสรภาพทางการเงิน การวางแผนเกษียณเพื่อให้มีความสุขในบั้นปลายชีวิต การใช้กลยุทธ์ลงทุนพยายามเอาชนะตลาด การเริ่มต้นกิจการใหม่เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว

      ได้พบว่าแต่ละแนวคิดมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป แต่ก็มีเป้าหมายที่สอดคล้องกันคือการสร้างและรักษาความมั่งคั่งให้อยู่อย่างยั่งยืน

      ผมจึงพยายามเรียบเรียงองค์ประกอบสำคัญเพื่อสรุปเป็นหลักการให้กับผู้ที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ โดยต้องการให้เป็นมุมมองของคนทั่วๆไป ไม่ใช่ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้เชี่ยวชาญ หรือ อาจารย์ มุ่งหวังให้ง่ายต่อความเข้าใจ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับคนทุกระดับ ด้วยการวิเคราะห์ค้นหาแนวทางที่เหมาะสมกับแต่ละคน
      4 เสาหลักเพื่อความมั่งคั่งที่ยั่งยืน (4 Pillars of Sustainable Wealth) ประกอบไปด้วย

      1. การบริหาร รายรับรายจ่าย
      2. การบริหาร ทรัพย์สิน
      3. การบริหาร หนี้สิน
      4. การบริหาร ความเสี่ยง

      ซึ่งทั้ง 4 เสาหลัก ต่างมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เริ่มจาก เสาหลักที่ 1 ด้วยการคิดแบบง่ายๆว่า หากในช่วงเวลาหนึ่ง รายรับมากกว่ารายจ่าย ย่อมหมายถึง การมีเสาหลักที่ 1 ที่แข็งแรง ซึ่งเมื่อนำรายรับหักออกด้วยรายจ่าย ส่วนที่เหลือก็จะกลายเป็น ทรัพย์สิน ที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ในอนาคตหรือส่งต่อให้คนอื่นได้ตามที่ต้องการ

      นำไปสู่ เสาหลักที่ 2 คือการบริหารทรัพย์สิน ที่เกี่ยวข้องกับ การเลือกรูปแบบของทรัพย์สินที่จะเป็นประโยชน์ตามที่ต้องการในอนาคต ซึ่งการลงทุนที่หลายๆคนให้ความสำคัญนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการบริหารทรัพย์สิน เสาหลักที่ 2 ที่แข็งแรงจึงหมายถึง การบริหารจัดการทรัพย์สินให้สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการในอนาคต

      อย่างไรก็ตาม หากมีช่วงเวลาที่ รายรับน้อยกว่ารายจ่าย (เสาหลักที่ 1 ไม่แข็งแรงเท่าที่ควรในช่วงนั้น) จำเป็นต้องนำทรัพย์สินที่มีอยู่มาใช้จ่ายแทน (เสาหลักที่ 2 มาช่วยค้ำจุน) หรือ อีกทางเลือกหนึ่งคือการเป็นหนี้ เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายล่วงหน้าไปก่อน

      ทำให้เกิดเสาหลักที่ 3 คือการบริหารหนี้สิน ที่ต้องตระหนักว่าการสร้างหนี้แม้จะมีประโยชน์ในการนำมาใช้จ่ายเฉพาะหน้า หมายถึงว่าในอนาคตย่อมต้องมีช่วงเวลาที่มีรายรับมากกว่ารายจ่ายเพื่อให้มีเงินเหลือไปใช้หนี้

      ทั้ง 3 เสาหลักนั้น มีปัจจัยที่สำคัญมากมาเกี่ยวข้อง คือ เวลา (สังเกตว่าเรามีการพูดถึงช่วงเวลากันเสมอ) เพราะ เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบของ ทั้ง 3 เสาหลัก อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือความไม่แน่นอนอยู่ เช่น

      • รายรับ อาจจะเพิ่มขึ้นจากการเติบโต เปลี่ยนแปลง ทางการงาน หรืออาจจะขึ้นลงบางช่วงจากภาวะเศรษฐกิจและอาจจะมีรายจ่ายก้อนใหญ่ที่จำเป็นอย่างไม่คาดฝัน
      • มูลค่าทรัพย์สินอาจจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างที่คาดไม่ถึง
      • มูลค่าหนี้สิน มีโอกาสลดลงจากการชำระหนี้ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็เป็นได้ หรืออาจจะต้องมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอีกด้วยความจำเป็น

      เสาหลักที่ 4 คือการบริหารจัดการความไม่แน่นอนต่างๆ เหล่านี้ให้มีผลกระทบต่อความแข็งแรงของเสาหลักทั้ง 3 น้อยที่สุด ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากที่จะนำไปสู่ความยั่งยืน เช่น พยายามทำให้รายรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เตรียมพร้อมสำหรับรายจ่ายที่ไม่คาดฝัน จัดสรรทรัพย์สินให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามที่คาดไว้ รีบชำระคืนหนี้ให้รวดเร็ว ไม่ก่อหนี้เพิ่มหากไม่จำเป็นจริงๆ เป็นต้น

      แน่นอนว่า รายละเอียดของ 4 เสาหลัก ของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันไป เปรียบเสมือนความต้องการสร้างบ้านที่ไม่เหมือนกันบนเสาหลักทั้ง 4 ต้นนี้ ยกตัวอย่าง เช่น หลักการของผู้ที่ประสบความสำเร็จทางการเงิน ที่หลายๆคนเคยได้ยิน คือ

      1. พยายามทำให้รายรับมากกว่ารายจ่าย ตลอดเวลา ด้วยการขยันทำงาน เพิ่มรายรับ ประหยัดค่าใช้จ่าย
      2. เมื่อมีเงินเหลือ นำไปเก็บออมหรือเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินที่สามารถเข้าใจได้ ไม่จำเป็นต้องหาทรัพย์สินลงทุนที่ซับซ้อน
      3. ไม่พยายามสร้างหนี้หากไม่จำเป็น เมื่อต้องการใช้จ่ายมากกว่ารายรับ เช่น ซื้อของชิ้นใหญ่ จะพยายามเก็บออมจากรายรับที่มากกว่ารายจ่ายก่อน แล้วจึงนำเงินไปซื้อ
      4. บริหารความเสี่ยงด้วยการ เก็บออมในบัญชีเงินฝาก ให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่แน่นอน เพื่อให้มั่นใจ ว่าในช่วงที่ไม่มีรายรับหรือมีรายรับที่น้อยลงแล้ว จะมีทรัพย์สินที่นำมาใช้เพียงพอ ไปจนสิ้นอายุขัย และยังมีโอกาสส่งต่อให้ทายาทอีกด้วย

      ตัวอย่างแรกนี้แม้จะมีลักษณะไม่ซับซ้อน แต่ในการปฏิบัติจริงต้องใช้ความพยายามและระเบียบวินัยอย่างมาก จนกระทั่งมีหลายคนคิดว่า ไม่เหมาะกับตนเองหรือสถานการณ์ในปัจจุบัน ตัวอย่างนี้เปรียบเสมือนเป็นการสร้างบ้านที่อาจจะไม่ใหญ่โต แต่ก็มีความมั่นคง และก็อยู่ได้สบาย

      เพื่อให้เห็นความแตกต่าง ขอยกตัวอย่างที่ 2 ซึ่งอาจจะจินตนาการได้ว่าเป็นรุ่นลูกของบุคคลในตัวอย่างแรก

      1. มีช่วงเวลาที่รายจ่ายมากกว่ารายรับ เป็นเวลาที่ยาวนาน ตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทำงานโดยไม่เดือดร้อนนัก เนื่องจากมีทรัพย์สินจากรุ่นพ่อแม่จุนเจือนำมาใช้จ่ายได้ สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยทำงานและมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
      2. เริ่มต้นจากการมีทรัพย์สินในรูปแบบของความสามารถ ความรู้ การศึกษา ที่ได้รับการส่งเสริมจากพ่อแม่ ส่วนทรัพย์สินอื่นที่สร้างเพิ่มเติมด้วยตนเองมาจากช่วงที่รายรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากพื้นฐานการศึกษาและโอกาสที่มากกว่ารุ่นพ่อแม่
      3. มีการสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องเนื่องจากความคุ้นเคยกับการใช้จ่ายที่มากกว่ารายรับ ตั้งแต่ในช่วงที่ตนเองยังไม่มีรายรับที่มากพอ โดยคาดหวังว่า จะมีรายรับที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต มาชำระหนี้สินได้
      4. บริหารความไม่แน่นอนด้วยการพยายามเพิ่มเติมความสามารถตนเอง เพื่อสร้างโอกาสให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นตามที่คาดหวัง พยายามไม่ให้รายจ่ายเพิ่มขึ้นเร็วเท่ารายรับ พิจารณาทางเลือกการบริหารทรัพย์สินให้มีโอกาสเพิ่มมูลค่า ให้เพียงพอกับความต้องการใช้จ่ายในอนาคต แม้ต้องเผชิญความไม่แน่นอนจากการลงทุน ก็พยายามเพิ่มความรู้ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ผนวกกับทรัพย์สินที่คงเหลือมาจากรุ่นพ่อแม่ ที่สามารถนำมาบริหารจัดการได้ในช่วงที่ความไม่แน่นอนเกิดขึ้น มีการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น การทำประกัน เพื่อลดความกังวลกับรายจ่ายที่ไม่แน่นอนในอนาคต

      ตัวอย่างที่ 2 อาจเปรียบเทียบได้กับการสร้างบ้านที่ทันสมัย โดดเด่น น่าสนใจ บนเสาหลักที่ค่อยๆแข็งแรงขึ้นจากรากฐานที่ค่อนข้างดี ด้วยการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย ความสามารถและประสบการณ์ ที่สูงของผู้ที่ออกแบบและก่อสร้าง

      ผมเชื่อว่าทุกคนต่างสามารถสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนได้ ตามลักษณะที่เฉพาะตัวที่มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป แล้วแต่ความต้องการและองค์ประกอบที่มีอยู่ ด้วยความเข้าใจถึงความสำคัญของทั้ง 4 เสาหลัก การวิเคราะห์ว่าแต่ละเสาหลักมีโครงสร้างที่มั่นคงเพียงใด ต้องทำอย่างไรเพื่อเสริมความแข็งแรง เพื่อสร้างบ้านที่สวยงาม น่าอยู่ มั่นคง ปลอดภัย ถูกใจเจ้าของให้มากที่สุดครับ

      โพสต์ใน พื้นฐานการเงินส่วนบุคคล
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ราคาทองคำที่พุ่งสูงในปีนี้ มันคือความเสี่ยงหรือโอกาสที่ควรลงทุน ?

      @T_Anonymous เรื่องนี้อาจจะต้องรบกวนนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ @bonthr และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน @phongthorn @Tom89 ครับ
      ถ้าในมุมมองของนักวางแผนการเงิน ผมคิดว่า ความเสี่ยงและโอกาสมักจะมาพร้อมๆกัน อยู่ที่ว่าทางเลือกนั้นเหมาะกับแต่ละบุคคลหรือไม่ เช่น ถ้าเราเข้าใจว่า

      • การลงทุนในทองคำแตกต่างจากการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อย่างไร
      • โดยปกติราคาทองคำมีความผันผวนแค่ไหน และ
      • การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในทองคำอาจจะช่วยทำให้ความผันผวนของพอร์ตลงทุนลดลงได้เนื่องจาก ความแตกต่างจากสินทรัพย์ลงทุนอื่นๆที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุน

      ก็เป็นไปได้ที่จะพิจารณาลงทุนในทองคำ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตาม

      ส่วนเรื่องการตัดสินใจว่าเวลาใดเหมาะสมที่สุดนั้น ต้องใช้ปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นต้น ครับ

      นักวางแผนการเงินท่านอื่นๆ @ป-ยะ-ส-ราสา @tiantayach ช่วยแสดงความคิดเห็นได้เลยนะครับ 😊

      โพสต์ใน สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ถ้ามีลูก ควรทำประกันแบบไหนดีคะ

      @cecilice เข้าใจว่าน่าจะหมายถึงทำให้ลูก (ในชื่อลูก) ขออนุญาตให้คำแนะนำตามนี้นะครับ
      ประกันมีประโยชน์ในหลายแง่มุมสำหรับเด็ก เช่น

      • เป็นเครื่องมือในการออมเงินระยะยาว เช่น ทำประกันสะสมทรัพย์ให้กับลูก โดยพ่อแม่เป็นผู้ชำระเบี้ยให้ เมื่อลูกโตขึ้น ประกันครบกำหนดอายุก็จะมีเงินก้อน ให้ลูกไปใช้ประโยชน์ได้

      • เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านภาระค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพ เด็กๆ อาจจะมีความจำเป็นต้องใช้บริการโรงพยาบาลในกรณีเจ็บป่วย การทำประกันสุขภาพจะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายนี้ จากการที่พ่อแม่จ่ายเบี้ยประกันสุขภาพเพื่อคุ้มครองไว้

      ในทางปฏิบัติจะมีแบบประกันที่สามารถรวมคุณสมบัติทั้ง 2 ด้านเข้าด้วยกันได้ ลองปรึกษาตัวแทนหรือนายหน้าประกันได้ครับ

      และอาจจะมีมุมมองด้านอื่นๆ เกี่ยวกับประกันสำหรับเด็กๆ เพิ่มเติมจาก ผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ ด้วยนะครับ รออ่านเพิ่มเติมครับ

      โพสต์ใน ประกัน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: สงสัยเกี่ยวกับ Unit Linked ใครมีประสบการณ์บ้างมั้ยครับมาแชร์กัน

      @Ekk-cccw

      Unit Linked เป็นผลิตภัณฑ์ประกันที่ออกแบบมาให้ปรับเปลี่ยนตามผู้ทำประกันได้หลายแง่มุมครับ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอโดยแต่ละบริษัทด้วย

      อย่างไรก็ตามถ้าพูดเป็นการทั่วไป Unit Linked ออกแบบให้ ผู้ทำประกันสามารถเลือกทุนประกันได้สูงเทียบกับเบี้ยประกันที่จ่าย ซึ่งก็จะตามมาด้วย ต้นทุนสำหรับค่าความคุ้มครองนั้น (หรือ Cost of Insurance) ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ในแต่ละปีที่ผู้ทำประกันจ่ายเบี้ยไป เงินที่ถูกหักออกไป เพื่อทำหน้าที่ให้ได้ความคุ้มครองชีวิตที่สูงตามทุนประกันที่เราเลือกไว้ ก็จะเพิ่มขึ้นตาม ทำให้เงินส่วนที่เหลือ หลังจากหักค่าธรรมเนียมอื่นๆ แล้ว ลดลง

      เงินส่วนที่เหลือหลังจากหัก Cost of Insurance และ ค่าธรรมเนียมต่างๆ สามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ทำประกันได้ ซึ่งหากเป็นประกันแบบดั้งเดิม เงินส่วนนี้จะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ (เช่น พันธบัตรรัฐบาล) โดยบริษัทประกันจะดำเนินการให้สอดคล้องตามข้อกำหนดของ คปภ และเมื่อได้ผลตอบแทน ก็จะสามารถนำไปเป็นเงินคืนรายงวด รวมถึงสะสมไว้ เพื่อจ่ายให้กับผู้ทำประกันเมื่อครบสัญญา

      สำหรับ Unit Linked เงินส่วนนี้ ผู้ทำประกันสามารถเลือกได้ว่าจะไปลงทุนในกองทุนรวมใด ซึ่งทำให้ตอบโจทย์ผู้ทำประกันมากขึ้น เช่น ถ้ารับความเสี่ยงได้สูง ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้นได้

      ถ้าคิดในมุมนี้ จะเห็นว่า Unit Liked ให้อิสระกับผู้ทำประกันมากกว่า การทำประกันแบบดั้งเดิม เช่น ถ้าต้องการเป็นแบบเสี่ยงต่ำคล้ายกับประกันแบบดั้งเดิมก็เลือกกองทุนเสี่ยงต่ำ ถ้าพร้อมเผชิญความผันผวน ก็เลือกกองทุน หรือ จัดพอร์ตแบบเสี่ยงสูงได้
      แต่ถ้านำ Unit Linked ไปเทียบกับการลงทุน ก็จะเห็นว่า Unit Linked มีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ก่อนที่จะเหลือเงินไปลงทุน ซึ่งเป็นปกติของผลิตภัณฑ์ประกันที่จะมีค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นปกติอยู่แล้ว จึงอาจจะเปรียบเทียบได้ยาก (หรือเปรียบเทียบไป ก็จะสู้ไปลงทุนโดยตรงไม่ได้)

      ผมจึงขออนุญาตให้ความเห็นว่า ให้พิจารณา โดยใช้งบประมาณที่มีสำหรับการทำประกันอยู่แล้ว (ซึ่งโดยปกติจะไม่มากเท่างบประมาณสำหรับลงทุน เพราะการทำประกันเป็นการบริหารความเสี่ยง มากกว่าการสร้างผลตอบแทน) มาประเมินว่า หากเลือกเป็น Unit Linked จะตอบโจทย์กว่า ทำประกันแบบอื่นหรือไม่ โดยไม่ต้องนำไปเทียบกับการนำเงินไปลงทุนในรูปแบบอื่นๆ
      เมื่อในส่วนของประกันตัดสินใจได้แล้ว เราค่อยไปวางแผนลงทุนในงบประมาณหรือเป้าหมายอื่นสำหรับการลงทุนต่างหากครับ

      เพื่อนๆ และผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มีความคิดเห็นเพิ่มเติม เสนอแนวคิด หรือ update ข้อมูลเงื่อนไขต่างๆ ในปัจจุบัน ที่อาจจะปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละบริษัทประกัน เรียนเชิญนะครับ จะได้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายครับ

      โพสต์ใน ลงทุน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

      @curious เงินชดเชยที่ได้ ณ วันเกษียณอายุ 55 ต้องนำมายื่นเพื่อเสียภาษีด้วย โดยจะได้รับยกเว้นในส่วน 300,000 บาทแรก

      โพสต์ใน Module 4 การวางแผนเกษียณ
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยกับการลงทุนในหุ้น

      @curious ขอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมจาก @Tom89 ครับ ในแง่มุมของความต้องการผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดต่ำลง ความน่าสนใจของการลงทุนในกลุ่มตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยจะลดลง นักลงทุนจึงมักจะพิจารณาทางเลือกลงทุนอื่น เช่น หุ้น มากขึ้น ซึ่งมีโอกาสส่งผลให้ราคาของหุ้นโดยรวมเพิ่มสูงขึ้นหากนักลงทุนขายตราสารหนี้มาซื้อหุ้นแทนครับ

      โพสต์ใน ลงทุน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน

      @curious
      หากพนักงานเอกชนถูกให้ออกจากงาน ต้องได้รับค่าชดเชย
      เงินค่าชดเชยที่นายจ้างจะต้องชดเชย และตามกฎหมายลูกจ้างต้องได้รับค่าชดเชย ดังนี้

      • หากลูกจ้างทำงานมายังไม่ถึง 120 วัน นายจ้างจะไม่จ่ายค่าชดเชยก็ได้
      • หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 120 วัน - 1 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 30 วัน ในอัตราสุดท้าย
      • หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 1 - 3 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 90 วัน ในอัตราสุดท้าย
      • หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 3 - 6 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 180 วัน ในอัตราสุดท้าย
      • หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 6 - 10 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 240 วัน ในอัตราสุดท้าย
      • หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 10 - 20 ปี นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 300 วัน ในอัตราสุดท้าย
      • หากลูกจ้างทำงานมาแล้ว 20 ปีขึ้นไป นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างการทำงาน 400 วัน ในอัตราสุดท้าย

      ข้อมูลจากพระราชบัญญัติ คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 มาตรา 118 และมาตรา 17/1

      โพสต์ใน Module 4 การวางแผนเกษียณ
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • RE: มีเงินก้อนหนึ่งอยู่ สอบถามว่าควรนำไปโปะหนี้บ้านที่เหลืออยู่ หรือนำไปลงทุนดีกว่ากัน

      หากพิจารณาตามหลักการ ปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการตัดสินใจมีตามนี้ครับ

      เราควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของหนี้บ้านกับอัตราผลตอบแทนที่เราคาดว่าจะได้จากการลงทุน

      เช่น ถ้าหนี้บ้านมีอัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี แต่เราคาดว่าจะได้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน 8% ต่อปี ก็ควรพิจารณานำเงินไปลงทุนครับ

      อย่างไรก็ตาม
      การนำเงินไปชำระหนี้บ้านนั้น เราได้ผลตอบแทน 5% แน่ๆ เนื่องจากเราประหยัดรายจ่ายดอกเบี้ยไปทันทีโดยไม่ต้องลุ้น เพราะเงินต้นลดลงไป ก็จะประหยัดดอกเบี้ยไป 5% ของเงินต้นนั้น
      แต่การนำเงินไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 8% ก็อาจจะมีความไม่แน่นอน ถ้าบังเอิญว่า เราไม่ได้ 8% แต่ได้ 4% แทน ก็อาจจะกลับกลายเป็นว่า การเลือกนำเงินมาลงทุนเป็นทางเลือกที่ได้ประโยชน์น้อยกว่าการนำไปจ่ายหนี้บ้านครับ

      หลักการประมาณนี้ การตัดสินใจจริงๆ ก็อาจจะขึ้นอยู่กับแต่ละคน ว่า ชั่งน้ำหนักแล้ว ทางเลือกใด เหมาะสมกับตนเองมากกว่ากันครับ

      โพสต์ใน บริหารหนี้สิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข

    โพสต์ล่าสุดที่เขียนโดย meesookho

    • พื้นฐานภาษีอย่างง่าย เพื่อประหยัดรายจ่าย

      สรุปตาม Clip นี้เลยครับ

      https://youtube.com/shorts/EfMJFHs02m0?feature=share

      โพสต์ใน บริหารรายรับรายจ่าย เงินออม ภาษี
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • คนรุ่นใหม่กับการวางแผนการเงิน

      การวางแผนการเงินมีความสำคัญกับคนรุ่นใหม่ ในโลกการเงินที่ซับซ้อนมากขึ้น

      https://youtube.com/shorts/t6ZsverXK7Q?feature=share

      โพสต์ใน วิชาชีพทางการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • อยากประหยัดรายจ่าย ต้องเข้าใจประเภทของรายจ่าย

      สัดส่วนรายจ่ายเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทราบครับ

      https://youtube.com/shorts/W0V_ZB9qCnQ

      โพสต์ใน บริหารรายรับรายจ่าย เงินออม ภาษี
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • วางแผนการเงินด้วยตนเอง ต้องรู้ประเภทของทรัพย์สิน

      ดูคลิปสั้นๆ เพื่อเป็นพื้นฐานที่สำคัญครับ

      https://youtube.com/shorts/kIRQ0PFAIbg?feature=share

      โพสต์ใน ลงทุน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • รวมคลิปสัมภาษณ์องค์กรเกี่ยวกับที่ปรึกษาการเงิน นักวางแผนการเงิน

      มี update เรื่อยๆ นะครับ เพื่อนลองเข้าไปดู มีหลายแง่มุมให้พิจารณาครับ

      link เส้นทางวิชาชีพที่ปรึกษาการเงิน นักวางแผนการเงิน

      โพสต์ใน วิชาชีพทางการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • มาดูข้อมูลน่าสนใจเกี่ยวกับวิชาชีพทางการเงินกัน

      ผมได้รวบรวมข้อมูลเป็น playlist ไว้ใน youtube channel ครับ ลองทดสอบตัวเองได้ครับ ว่าตอบถูกกี่ข้อ 😊

      link ท่องโลกอาชีพการเงิน

      โพสต์ใน วิชาชีพทางการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • สัมภาษณ์บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุนในด้านที่เกี่ยวข้องกับที่ปรึกษาทางการเงิน

      ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณพิชญา ซุ่นทรัพย์ นักวางแผนการเงิน CFP ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน BMK Wealth เกี่ยวกับการทำงานของที่ปรึกษาทางการเงิน น่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆหลายท่านครับ ตาม Link ด้านล่างเลยครับ

      link

      โพสต์ใน วิชาชีพทางการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • สินเชื่อบ้านกับรถยนต์แตกต่างกันอย่างไร?

      ผมสรุปไว้ในคลิปนี้ครับ เน้นไปที่เรื่องของการคิดดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน โดยใช้ Excel เทียบให้เห็นแบบชัดเจนเลยครับ

      ความแตกต่างระหว่างสินเชื่อบ้านและรถยนต์

      โพสต์ใน สินเชื่อ บัตรเดรดิต
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • CFP Module 2 การวางแผนการลงทุน เรียนอะไรบ้าง?

      Module ปราบเซียนครับ 😊
      ต้องเรียนอะไรบ้าง ผมสรุปไว้ใน Clip นี้ครับ

      link สรุปเนื้อหา CFP Module 2

      โพสต์ใน Module 2 การวางแผนลงทุน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข
    • CFP Module 1 เรียนอะไรบ้าง นำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง?

      ผมสรุปไว้ในคลิปด้านล่างนี้ เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ที่กำลังตัดสินใจเข้าสู่เส้นทางนักวางแผนการเงิน CFP ครับ

      สรุป CFP Module 1

      โพสต์ใน Module 1 พื้นฐานการวางแผนการเงิน
      meesookhoM
      ดร.ชาติชาย มีสุขโข