• หมวดหมู่
    • ล่าสุด
    • แท็ก
    • ฮิต
    • ผู้ใช้
    • กลุ่ม
    • ลงทะเบียน
    • เข้าสู่ระบบ
    1. หน้าแรก
    2. ปิยะ สุราสา
    • รายละเอียด
    • ติดตาม 0
    • คนติดตาม 1
    • กระทู้ 0
    • โพสต์ 5
    • ดีที่สุด 5
    • มีข้อโต้แย้ง 0
    • กลุ่ม 2

    ปิยะ สุราสา

    @ปิยะ สุราสา

    นักวางแผนการเงิน CERTIFIED FINANCIAL PLANNER

    109
    ชื่อเสียง
    20
    ดูข้อมูลส่วนตัว
    5
    โพสต์
    1
    คนติดตาม
    0
    ติดตาม
    เข้าร่วม ออนไลน์ล่าสุด

    ปิยะ สุราสา เลิกติดตาม ติดตาม
    CERTIFIED FINANCIAL PLANNER นักวางแผนการเงิน

    โพสต์ดีที่สุดที่ถูกสร้างโดย ปิยะ สุราสา

    • RE: สำหรับมนุษย์เงินเดือน วางแผนการลงทุนอย่างไรที่จะสามารถได้ผมกำไรเฉลี่ย 20%++ ต่อปี

      ถามสั้น แต่ตอนตอบไม่สั้นนะครับ พยายามอ่านนะครับ ถ้าเอาแบบสรุปคือไม่มีวิธีการสำเร็จรูป ที่ง่ายเหมือน เทน้ำร้อนใส่มาม่าแล้วรอ 3 นาที กินได้เลย แต่มันมีวิธีที่เราต้องยินดีทำงานหนัก 3-5 ปี เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตแบบที่คนส่วนใหญ่อยากมี แต่ไม่เคยได้ใช้

      การลงทุนสามารถ แยกเป็น 2 ประเภท

      1. การลงทุนทางตรง (Direct investment) เป็นการลงทุนที่เจ้าของเงินต้องทําการตัดสินใจลงทุนในขั้นสุดท้ายด้วยตนเอง (เช่น การเป็นเจ้าของกิจการ มีอำนาจในการตัดสินใจในขั้นสุดท้าย เช่น Warrent Buffett เป็นเจ้าของ Berkshire hateaway หรือ Ellon Musk เป็นเจ้าของ Testla)

      2. การลงทุนทางอ้อม (Indirect investment) เป็นการลงทุนที่มีสถาบันอื่นกระทำการตัดสินใจลงทุนในขั้นสุดท้ายแทนเจ้าของเงิน เช่น การลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล หรือแม้แต่การลงทุนในหุ้น (ถึงมีสิทธิออกเสียง แต่ก็ไม่ใช่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยตนเอง)

      การลงทุนในแบบ Direct investment นั้น ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความสามารถ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ภายในไม่กี่ปี และในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ก็สามารถที่จะล้มเหลวและสูญเสียเงินทั้งหมดไปได้ (ซึ่งตามสถิติแล้วการลงทุนแบบ Direct investment นั้น โอกาสสำเร็จมีน้อยมาก และมันไม่เหมาะกันทุกคน มีเพียงบางคนเท่านั้นที่เลือกเสียสละ ทุ่มเท และพัฒนาตัวเองเพื่อขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติที่ดีเพียงพอ) ถ้าสำเร็จผลตอบแทนไม่ต้องพูดถึงเกินกว่า 20% ต่อปีแน่

      มนุษย์เงินเดือน วางแผนลงทุนแบบ Direct investment ได้ไหม คำตอบคือได้ เช่น วางแผนเป็นเจ้าของกิจการขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ถ้าเราเราวางแผนเสร็จแล้ว ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายว่าจะทำ แค่นี้เราก็ได้เป็นเจ้าของกิจการแล้ว

      คราวนี้มาดูว่า กำไรจากการเปิดร้ายขายหมูปิ้งเกิน 20% ไหม ต้นทุนโดยเฉลี่ยสำหรับ พ่อค้าข้าวเหนียวหมูปิ้งมือใหม่ ต้นทุนสำคัญคือหมู ราคากิโลกรัมละ 230 บาท หมู 1 กิโลกรัมทำหมูปิ้งได้ประมาณ 70 ไม้ ถ้าขายไม้ละ 12 บาท จะมีรายได้ 70 x 12 = 840 บาท ผลตอบแทนเกิน 200% (ยังไม่รวมกำไรจากการขายข้าวเหนียว นะครับ)

      แต่เพื่อจะได้ผลตอบแทนเหล่านี้ต้อง เราต้องลงแรงทำด้วยตัวเองทั้งหมด ซื้อหมูเอง หมักหมูเอง ปิ้งหมูเอง ยืนขายเอง แก้ปัญหาต่างๆ เอง ตื่นเช้าไปเปิดร้านขายก่อนไปทำงาน หรือยอมเหนื่อยต่อหลังเลิกงานเปิดร้ายขายตอนเย็น และความเหน็ดเหนื่อยในรูปแบบต่างๆ ที่ประดังเข้ามาอีกมากมาย

      ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนส่วนน้อยที่ยอมเสียสละตัวเอง ใช้เวลาก่อนทำงานหรือหลังเลิกงานเป็นเจ้าของกิจการร้านขายหมูปิ้งทำเองทั้งหมดได้ผลตอบแทนเกิน 20%++ แน่นอนครับ (แต่ 4P product price place promotion ก็ต้องเป็นเลิศนะครับ)

      แต่คำถามคือทำไมไม่ทำ คำตอบคือ มนุษย์มีคุณสมบัติเหมือนกันหมดคือ 1. ทุกคนขี้เกียจ และ 2. ทุกคนมองหาของง่าย เพราะกล้วเหนื่อย กลัวลำบาก กลัวไปทุกอย่าง ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงพยายามหาทางเลือกที่ง่ายกว่า แต่ยังคงอยากได้ผลตอบแทนที่ดี

      คำตอบคือมันมีการลงทุนทางอ้อม (Direct investment) ที่เหนื่อยน้อยกว่า แต่ยังคงให้ผลตอบแทนดีๆ ได้ มีไหม?

      แน่นอนว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทางอ้อมที่ดีนัั้นมี แต่โดยทั่วไปแล้วการลงทุนทางอ้อมจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทางตรง (Direct Investment)

      ถ้าเราเลือกที่จะลงทุนผ่านหลักทรัพย์ (เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ ค่าเงิน หรือ Cryptocurrency) เราก็จะต้องมีความรู้ มีการวางแผนเพื่อลงทุนในหลักทรัพย์

      ซึ่งเราก็จะเห็น มนุษย์เงินเดือนที่สำเร็จและร่ำรวยจากการลงทุนทางอ้อม มันก็มีแต่ไม่มาก เพราะมนุษย์เงินเดือน ที่จะลงทุนทางอ้อมให้ประสบความสำเร็จจะต้องเสียสละ ทุ่มเท และพัฒนาตัวเอง ศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง ซึ่งโดยหลักการแล้วการลงทุนในหลักทรัพย์ให้ประสบความสำเร็จ มีองค์ประกอบ 3 ส่วน หรือ 3M คือ 1. Method รู้วิธีคัดเลือกหลักทรัพย์ รู้จังหวะการซื้อขาย 2. Money management รู้เรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงของเงินลงทุน และ 3. Mindset ลงทุนตามแผนมีวินัยในการลงทุน

      ถ้าเราไม่ยอมทำอะไรเลย เลือกเอาสบายเลย ผลตอบแทนที่ได้ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ ผมแนะนำว่าให้ลงทุนในตัวเอง พัฒนาตัวเองให้เป็นเลิศในการทำงาน (เพิ่มเงินเดือน เพิ่มรายได้ขึ้น ให้ได้ทุกๆ ปี อย่างมีนัยสำคัญ) ใช้จ่ายให้ประหยัด และนำเงินที่เหลือมาลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งแน่นอนว่าเราในฐานะผู้ลงทุนในกองทุนรวม แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เต็มที่แค่เลือกจัดสรรสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับได้ เลือกกองทุนที่ดี (แค่นี้คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทำเลยครับ เราน่าจะเคยถูกถามใช่ไหมครับว่า ลงทุนกองไหนดี) และมอบอำนาจการตัดสินใจต่างๆ ทั้งหมดให้ผู้จัดการกองทุนทำแทนเลย

      ก็ลงทุนผ่านกองทุนรวม ก็สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวที่ดีได้ เช่น กองทุนรวมหุ้นทั่วโลก ซึ่งคาดหวังได้ 8-10% ต่อปี

      ดังนั้น ถ้าถามว่ามนุษย์เงินเดือน วางแผนลงทุนอย่างไรที่จะสามารถได้ผลตอบแทน 20%++ ต่อปี

      ลองเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ ดังนี้

      1. มีมนุษย์เงินเดือนที่สามารถวางแผนลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 20%++ ต่อปี ไหม

      2. ถ้าคำตอบของเราคือ มี คำถามข้อต่อไปคือ เค้าเหล่านั้นเป็นใคร

      3. เลือกว่าเราอยากเเป็นแบบใคร (หาต้นแบบ) คำถามข้อต่อไปคือ ถามตัวเองว่าเราพร้อมจะเรียนรู้และทำงานหนัก เพื่อกลายเป็นต้นแบบความสำเร็จของเราไหม

      4. ถ้าคำตอบคือพร้อมที่จะเรียนรู้และทำงานหนัก คำถามข้อต่อไปคือ ฉันจะเรียนรู้จากต้นแบบของฉันอย่างไร

      5. ถ้าเค้าสอน ก็โชคดี แต่ถ้าเค้าไม่สอน คำถามคือ เราจะแอบเรียนรู้จากต้นแบบของเราได้อย่างไร

      ผมฝากฝากข้อคิดหนึ่งของ Henry Ford ไว้นะครับ Whether you think you can or think you can't. You're Right (ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองทำได้ หรือคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ คุณคิดถูกเสมอ)

      โพสต์ใน ลงทุน
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: มี IC แล้ว อยากเป็น CFP ด้วย ควร waive ไปสอบเลย หรือควรเรียน CFP M2 ดี ?

      เนื้อหาการลงทุนใน CFP M2 นั้น ในมุมผมแยกเป็น

      1. แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุน
      2. ประเภทสินทรัพย์ลงทุน
      3. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
      4. การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์
      5. กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
      6. การวัดผลตอบแทนกลุ่มหลักทรัพย์
      7. แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ทำหน้าที่ตืดต่อกับผู้ลงทุน

      เนื้อหาในหัวข้อที่ 2 มีสีดส่วนของเนื้อหาเยอะมากๆ เกือบๆ 70% เนื่องจากสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภทมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก

      ทำให้เนื้องหาที่น่าสนใจในหัวข้อที่ 4-6 ได้แก่ กระบวนการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์ การวัดผลตอบแทนกลุ่มหลักทรัพย์ ซึ่งควรที่จะถูกทำให้ชัดเจน นั้นมีน้อยเกินไป

      สรุปคือ ถ้าจัดสรรเวลาได้ ไม่มีปัญหาเรื่องทุนทรัพย์ การอบรมก็จะทำให้เราเข้าใจสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่ถ้าหากคาดหวังเรื่องการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน กลยุทธ์ในการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์ และการวัดผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ นั้น M2 พอใช้เป็นแนวทางเพื่อไปศึกษาหาความรู้ต่อได้เท่านั้น

      ในกรณีที่ต้องการได้ประโยชน์สูงสุดจากการเรียนในห้องเรียน ควรอ่านเอกสารประกอบการบรรยาย (Hand Out ให้ได้สักรอบก่อนเข้าอบม) เพื่อจัดระบบความตคิด และเตรียมคำถามที่สงสัยไปสอบถามวิทยากร

      โพสต์ใน Module 2 การวางแผนลงทุน
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: กองทุนผสม กองไหนดี

      กรอบการจัดสรรสินทรัยพ์ลงทุนที่ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้ปานกลาง (Moderate investor) จะมีสัดส่วนการลงทุนดังนี้

      1. เงินฝากตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น <10%
      2. ตราสารหนี้ภาคเอกชล <60%
      3. หุ้นสามัญ <30%
      4. สินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ หรือ REIT <10%

      ซึ่งการลงทุนในสัดส่วนการลงทุนในกรอบนี้ ระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสมควรมากกว่า 3 ปีขึ้น ไปเพื่อคาดหวังผลตอบแทน 4-5%

      ดังนั้นแนวทางการจัดพอร์ตสามารถทำได้ 2 คือ

      1. เลือกกองทุนที่ลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ เช่น ลงทุนใน Money market fund 10% Government short term bond fund ุ50%, Equity fund 30% และ Gold fund 10%
        หรือ 2. มองหากองทุนผสมที่มีความเสี่ยงปานกลาง

      เมื่อได้กรอบของสัดส่วนการลงทุนตามระดับ Risk tolerance แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกกองทุน ซึ่งสามารถเข้าไคัดเลือกกองผ่าน Website ของ Finnomena ได้ (ผมใช้ Web นี้ แต่จริงๆ มีอีกหลาย Web ที่ช่วยเราคิดเลือกกองทุนได้)

      จากการคัดเลือกกองผ่าน ผมเลือกกองคร่าวๆ ให้ดังนี้นะครับ
      Money market 10% เช่น T-Cash, LHMM, KKP MP, SCBTMFPLUS-E
      Thai Mid Term Bond 50% เช่น KKP ACT FIXED-F หรือ PRINCIPAL FI
      Global Equity 30% เช่น TMBWDEQ หรือ KKP GNP
      Gold 10% เช่น SCBGOLD หรือ GLD
      คาดหวังผลตอบแทนได้ประมาณ 4%

      จากเงินลงทุนรายเดือน 500-1,000 บาท อาจจะไม่สามารถลงทุนในลักษณะแยกกองได้ แต่หากสะสมทุกเดือนและนำมากระจายการลงทุน ณ สิ้นปี ก็จะสามารถเลือกลงทุนแบบแยกกองได้

      แต่ถ้าต้องการเลือกกองทุนผสมที่มีความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งมักจะมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และมีสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 30-40% ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ กองที่พอจะแนะนำได้ เช่น ASP-AAA-A. KKP SG-AA-ES

      ลองศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับ

      โพสต์ใน กองทุนรวม
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: สัดส่วนการบริหารควรเป็นแบบไหน

      @cecilice หากเรากลับไปทำความเข้าใจเรื่อง อัตราส่วนการเงิน จะทำให้เข้าใจเรื่องวินัยการเงิน และนำไปปฏิบัติใช้ได้ทันทีเลยครับ

      ผมแนะนำดังนี้ นะครับ

      1. ใช้น่อยกว่าที่หาได้ ถ้าทำแบบนี้จะไม่มีวันเป็นหนี้ ชีวิตจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ -> อัตราส่วนการออม (เงินออม+กระแสเงินสดสุทธิ) หารด้วย รายรับรวม > 10% อัตราส่วนการออมนี้หลายคนเข้าใจว่าควรออมเงินอย่างน้อย 10% แต่ในความเป็นจริงอัตราส่วนนี้ แนะนำว่าใช้เงินแค่ 90% ของรายได้ เพื่อที่จะได้นำส่วนที่เหลือไปแก้หนี้หรือลงทุน

      2. ไม่ควรใช้เงินในอนาคต มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ไม่มีเงินอย่าซื้อ -> อัตราส่วนสภาพคล่อง (เงินสดที่มี) หารด้วย หนี้สินระยะสั้น) > 1 หลายคนผิดวินัยข้อนี้ เช่น ต้องการซื้อโทรศัพท์ราคา 40,000 บาท แต่ไม่มีเงินสด 40,000 บาท จึงเลือกใช้การผ่อน 10 เดือน อันนี้เป็นสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด มีลายคนทำ และในที่สุดก็พลาดกลายเป็นหนี้บัตรเครดิตก้อนโต

      3. ไม่ควรมีภาระการผ่อนชำระคืนหนี้ในแต่ละเดือนสูงจนเกินไป -> อัตราส่วนการชำระคืนหนี้จากรายได้ (เงินชำระคืนหนี้ หารด้วย รายได้) < 40% ทรัพย์สินบางอย่างนั้นราคาสูงมากจำเป็นต้องซื้อด้วยการใช้สินเชื่อ เช่น บ้าน และรถ แต่อย่างไรการวางแผนใช้สินเชื่อนั้น จะต้องประเมินความสามารถในการชำระคืนด้วย หลายคนไม่มีการวางแผนที่ดี สุดท้ายก็อาจจะมีปัญหาเรื่องหนี้สินที่ยากเกินแก้ไขตามมา

      อัตราส่วนการเงิน แนะนำเกินในการบริหารจัดการเงินไว้ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. สภาพคล่อง 2. หนี้สิน และ 3. การออมการลงทุน แยกออกเป็น 8 อัตราส่วน ลองศึกษาเพิ่มเติมต่อนะครับ

      โพสต์ใน บริหารรายรับรายจ่าย เงินออม ภาษี
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: CFP M2 เทียบกับ IC

      @T_Anonymous ตอนผมอ่าน CFP M2 ผมต้องเปิด หนังสือ IC อ่านคู่ไปด้วย เพราะพบว่า ในบางบทเนื้องหาที่สำคัญเพื่อทำให้เราเข้าใจเนื้อหาของ CFP M2 มากขึ้น ต้องไปดูใน IC เช่น รายการรพิสูจน์ที่มาที่ไปของสูตรคำนวณ มีบ้างที่ในหนังสือ IC ละเอียดกว่า

      อาจจะพอบอกได้ว่าการอ่านหนังสือ IC ประกอบกับการอ่าน CFP M2 จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ถ้าถามว่าลึกกว่าไหมอันนี้จำไม่ได้จริงๆ ครับ แค้เข้าใจว่ามันคล้ายๆ กัน มันสนับสนุนกัน

      รอท่านอื่นมาตอบเพิ่มนะครับ

      โพสต์ใน Module 2 การวางแผนลงทุน
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา

    โพสต์ล่าสุดที่เขียนโดย ปิยะ สุราสา

    • RE: สัดส่วนการบริหารควรเป็นแบบไหน

      @cecilice หากเรากลับไปทำความเข้าใจเรื่อง อัตราส่วนการเงิน จะทำให้เข้าใจเรื่องวินัยการเงิน และนำไปปฏิบัติใช้ได้ทันทีเลยครับ

      ผมแนะนำดังนี้ นะครับ

      1. ใช้น่อยกว่าที่หาได้ ถ้าทำแบบนี้จะไม่มีวันเป็นหนี้ ชีวิตจะร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ -> อัตราส่วนการออม (เงินออม+กระแสเงินสดสุทธิ) หารด้วย รายรับรวม > 10% อัตราส่วนการออมนี้หลายคนเข้าใจว่าควรออมเงินอย่างน้อย 10% แต่ในความเป็นจริงอัตราส่วนนี้ แนะนำว่าใช้เงินแค่ 90% ของรายได้ เพื่อที่จะได้นำส่วนที่เหลือไปแก้หนี้หรือลงทุน

      2. ไม่ควรใช้เงินในอนาคต มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น ไม่มีเงินอย่าซื้อ -> อัตราส่วนสภาพคล่อง (เงินสดที่มี) หารด้วย หนี้สินระยะสั้น) > 1 หลายคนผิดวินัยข้อนี้ เช่น ต้องการซื้อโทรศัพท์ราคา 40,000 บาท แต่ไม่มีเงินสด 40,000 บาท จึงเลือกใช้การผ่อน 10 เดือน อันนี้เป็นสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด มีลายคนทำ และในที่สุดก็พลาดกลายเป็นหนี้บัตรเครดิตก้อนโต

      3. ไม่ควรมีภาระการผ่อนชำระคืนหนี้ในแต่ละเดือนสูงจนเกินไป -> อัตราส่วนการชำระคืนหนี้จากรายได้ (เงินชำระคืนหนี้ หารด้วย รายได้) < 40% ทรัพย์สินบางอย่างนั้นราคาสูงมากจำเป็นต้องซื้อด้วยการใช้สินเชื่อ เช่น บ้าน และรถ แต่อย่างไรการวางแผนใช้สินเชื่อนั้น จะต้องประเมินความสามารถในการชำระคืนด้วย หลายคนไม่มีการวางแผนที่ดี สุดท้ายก็อาจจะมีปัญหาเรื่องหนี้สินที่ยากเกินแก้ไขตามมา

      อัตราส่วนการเงิน แนะนำเกินในการบริหารจัดการเงินไว้ 3 เรื่อง ได้แก่ 1. สภาพคล่อง 2. หนี้สิน และ 3. การออมการลงทุน แยกออกเป็น 8 อัตราส่วน ลองศึกษาเพิ่มเติมต่อนะครับ

      โพสต์ใน บริหารรายรับรายจ่าย เงินออม ภาษี
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: CFP M2 เทียบกับ IC

      @T_Anonymous ตอนผมอ่าน CFP M2 ผมต้องเปิด หนังสือ IC อ่านคู่ไปด้วย เพราะพบว่า ในบางบทเนื้องหาที่สำคัญเพื่อทำให้เราเข้าใจเนื้อหาของ CFP M2 มากขึ้น ต้องไปดูใน IC เช่น รายการรพิสูจน์ที่มาที่ไปของสูตรคำนวณ มีบ้างที่ในหนังสือ IC ละเอียดกว่า

      อาจจะพอบอกได้ว่าการอ่านหนังสือ IC ประกอบกับการอ่าน CFP M2 จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ถ้าถามว่าลึกกว่าไหมอันนี้จำไม่ได้จริงๆ ครับ แค้เข้าใจว่ามันคล้ายๆ กัน มันสนับสนุนกัน

      รอท่านอื่นมาตอบเพิ่มนะครับ

      โพสต์ใน Module 2 การวางแผนลงทุน
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: มี IC แล้ว อยากเป็น CFP ด้วย ควร waive ไปสอบเลย หรือควรเรียน CFP M2 ดี ?

      เนื้อหาการลงทุนใน CFP M2 นั้น ในมุมผมแยกเป็น

      1. แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการลงทุน
      2. ประเภทสินทรัพย์ลงทุน
      3. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
      4. การจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนในกลุ่มหลักทรัพย์
      5. กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์
      6. การวัดผลตอบแทนกลุ่มหลักทรัพย์
      7. แนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ทำหน้าที่ตืดต่อกับผู้ลงทุน

      เนื้อหาในหัวข้อที่ 2 มีสีดส่วนของเนื้อหาเยอะมากๆ เกือบๆ 70% เนื่องจากสินทรัพย์ลงทุนแต่ละประเภทมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะมาก

      ทำให้เนื้องหาที่น่าสนใจในหัวข้อที่ 4-6 ได้แก่ กระบวนการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน กลยุทธ์การบริหารกลุ่มหลักทรัพย์ การวัดผลตอบแทนกลุ่มหลักทรัพย์ ซึ่งควรที่จะถูกทำให้ชัดเจน นั้นมีน้อยเกินไป

      สรุปคือ ถ้าจัดสรรเวลาได้ ไม่มีปัญหาเรื่องทุนทรัพย์ การอบรมก็จะทำให้เราเข้าใจสินทรัพย์ลงทุนประเภทต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่ถ้าหากคาดหวังเรื่องการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุน กลยุทธ์ในการบริหารกลุ่มหลักทรัพย์ และการวัดผลตอบแทนของกลุ่มหลักทรัพย์ นั้น M2 พอใช้เป็นแนวทางเพื่อไปศึกษาหาความรู้ต่อได้เท่านั้น

      ในกรณีที่ต้องการได้ประโยชน์สูงสุดจากการเรียนในห้องเรียน ควรอ่านเอกสารประกอบการบรรยาย (Hand Out ให้ได้สักรอบก่อนเข้าอบม) เพื่อจัดระบบความตคิด และเตรียมคำถามที่สงสัยไปสอบถามวิทยากร

      โพสต์ใน Module 2 การวางแผนลงทุน
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: กองทุนผสม กองไหนดี

      กรอบการจัดสรรสินทรัยพ์ลงทุนที่ผู้ลงทุนรับความเสี่ยงได้ปานกลาง (Moderate investor) จะมีสัดส่วนการลงทุนดังนี้

      1. เงินฝากตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น <10%
      2. ตราสารหนี้ภาคเอกชล <60%
      3. หุ้นสามัญ <30%
      4. สินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ หรือ REIT <10%

      ซึ่งการลงทุนในสัดส่วนการลงทุนในกรอบนี้ ระยะเวลาการลงทุนที่เหมาะสมควรมากกว่า 3 ปีขึ้น ไปเพื่อคาดหวังผลตอบแทน 4-5%

      ดังนั้นแนวทางการจัดพอร์ตสามารถทำได้ 2 คือ

      1. เลือกกองทุนที่ลงทุนในแต่ละหลักทรัพย์ เช่น ลงทุนใน Money market fund 10% Government short term bond fund ุ50%, Equity fund 30% และ Gold fund 10%
        หรือ 2. มองหากองทุนผสมที่มีความเสี่ยงปานกลาง

      เมื่อได้กรอบของสัดส่วนการลงทุนตามระดับ Risk tolerance แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกกองทุน ซึ่งสามารถเข้าไคัดเลือกกองผ่าน Website ของ Finnomena ได้ (ผมใช้ Web นี้ แต่จริงๆ มีอีกหลาย Web ที่ช่วยเราคิดเลือกกองทุนได้)

      จากการคัดเลือกกองผ่าน ผมเลือกกองคร่าวๆ ให้ดังนี้นะครับ
      Money market 10% เช่น T-Cash, LHMM, KKP MP, SCBTMFPLUS-E
      Thai Mid Term Bond 50% เช่น KKP ACT FIXED-F หรือ PRINCIPAL FI
      Global Equity 30% เช่น TMBWDEQ หรือ KKP GNP
      Gold 10% เช่น SCBGOLD หรือ GLD
      คาดหวังผลตอบแทนได้ประมาณ 4%

      จากเงินลงทุนรายเดือน 500-1,000 บาท อาจจะไม่สามารถลงทุนในลักษณะแยกกองได้ แต่หากสะสมทุกเดือนและนำมากระจายการลงทุน ณ สิ้นปี ก็จะสามารถเลือกลงทุนแบบแยกกองได้

      แต่ถ้าต้องการเลือกกองทุนผสมที่มีความเสี่ยงปานกลาง ซึ่งมักจะมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย และมีสินทรัพย์เสี่ยงประมาณ 30-40% ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ กองที่พอจะแนะนำได้ เช่น ASP-AAA-A. KKP SG-AA-ES

      ลองศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับ

      โพสต์ใน กองทุนรวม
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา
    • RE: สำหรับมนุษย์เงินเดือน วางแผนการลงทุนอย่างไรที่จะสามารถได้ผมกำไรเฉลี่ย 20%++ ต่อปี

      ถามสั้น แต่ตอนตอบไม่สั้นนะครับ พยายามอ่านนะครับ ถ้าเอาแบบสรุปคือไม่มีวิธีการสำเร็จรูป ที่ง่ายเหมือน เทน้ำร้อนใส่มาม่าแล้วรอ 3 นาที กินได้เลย แต่มันมีวิธีที่เราต้องยินดีทำงานหนัก 3-5 ปี เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตแบบที่คนส่วนใหญ่อยากมี แต่ไม่เคยได้ใช้

      การลงทุนสามารถ แยกเป็น 2 ประเภท

      1. การลงทุนทางตรง (Direct investment) เป็นการลงทุนที่เจ้าของเงินต้องทําการตัดสินใจลงทุนในขั้นสุดท้ายด้วยตนเอง (เช่น การเป็นเจ้าของกิจการ มีอำนาจในการตัดสินใจในขั้นสุดท้าย เช่น Warrent Buffett เป็นเจ้าของ Berkshire hateaway หรือ Ellon Musk เป็นเจ้าของ Testla)

      2. การลงทุนทางอ้อม (Indirect investment) เป็นการลงทุนที่มีสถาบันอื่นกระทำการตัดสินใจลงทุนในขั้นสุดท้ายแทนเจ้าของเงิน เช่น การลงทุนผ่านกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล หรือแม้แต่การลงทุนในหุ้น (ถึงมีสิทธิออกเสียง แต่ก็ไม่ใช่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยตนเอง)

      การลงทุนในแบบ Direct investment นั้น ถ้าเป็นผู้ประกอบการที่มีความรู้ ความสามารถ ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ภายในไม่กี่ปี และในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ก็สามารถที่จะล้มเหลวและสูญเสียเงินทั้งหมดไปได้ (ซึ่งตามสถิติแล้วการลงทุนแบบ Direct investment นั้น โอกาสสำเร็จมีน้อยมาก และมันไม่เหมาะกันทุกคน มีเพียงบางคนเท่านั้นที่เลือกเสียสละ ทุ่มเท และพัฒนาตัวเองเพื่อขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติที่ดีเพียงพอ) ถ้าสำเร็จผลตอบแทนไม่ต้องพูดถึงเกินกว่า 20% ต่อปีแน่

      มนุษย์เงินเดือน วางแผนลงทุนแบบ Direct investment ได้ไหม คำตอบคือได้ เช่น วางแผนเป็นเจ้าของกิจการขายข้าวเหนียวหมูปิ้ง ถ้าเราเราวางแผนเสร็จแล้ว ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายว่าจะทำ แค่นี้เราก็ได้เป็นเจ้าของกิจการแล้ว

      คราวนี้มาดูว่า กำไรจากการเปิดร้ายขายหมูปิ้งเกิน 20% ไหม ต้นทุนโดยเฉลี่ยสำหรับ พ่อค้าข้าวเหนียวหมูปิ้งมือใหม่ ต้นทุนสำคัญคือหมู ราคากิโลกรัมละ 230 บาท หมู 1 กิโลกรัมทำหมูปิ้งได้ประมาณ 70 ไม้ ถ้าขายไม้ละ 12 บาท จะมีรายได้ 70 x 12 = 840 บาท ผลตอบแทนเกิน 200% (ยังไม่รวมกำไรจากการขายข้าวเหนียว นะครับ)

      แต่เพื่อจะได้ผลตอบแทนเหล่านี้ต้อง เราต้องลงแรงทำด้วยตัวเองทั้งหมด ซื้อหมูเอง หมักหมูเอง ปิ้งหมูเอง ยืนขายเอง แก้ปัญหาต่างๆ เอง ตื่นเช้าไปเปิดร้านขายก่อนไปทำงาน หรือยอมเหนื่อยต่อหลังเลิกงานเปิดร้ายขายตอนเย็น และความเหน็ดเหนื่อยในรูปแบบต่างๆ ที่ประดังเข้ามาอีกมากมาย

      ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนส่วนน้อยที่ยอมเสียสละตัวเอง ใช้เวลาก่อนทำงานหรือหลังเลิกงานเป็นเจ้าของกิจการร้านขายหมูปิ้งทำเองทั้งหมดได้ผลตอบแทนเกิน 20%++ แน่นอนครับ (แต่ 4P product price place promotion ก็ต้องเป็นเลิศนะครับ)

      แต่คำถามคือทำไมไม่ทำ คำตอบคือ มนุษย์มีคุณสมบัติเหมือนกันหมดคือ 1. ทุกคนขี้เกียจ และ 2. ทุกคนมองหาของง่าย เพราะกล้วเหนื่อย กลัวลำบาก กลัวไปทุกอย่าง ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงพยายามหาทางเลือกที่ง่ายกว่า แต่ยังคงอยากได้ผลตอบแทนที่ดี

      คำตอบคือมันมีการลงทุนทางอ้อม (Direct investment) ที่เหนื่อยน้อยกว่า แต่ยังคงให้ผลตอบแทนดีๆ ได้ มีไหม?

      แน่นอนว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทางอ้อมที่ดีนัั้นมี แต่โดยทั่วไปแล้วการลงทุนทางอ้อมจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทางตรง (Direct Investment)

      ถ้าเราเลือกที่จะลงทุนผ่านหลักทรัพย์ (เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ ค่าเงิน หรือ Cryptocurrency) เราก็จะต้องมีความรู้ มีการวางแผนเพื่อลงทุนในหลักทรัพย์

      ซึ่งเราก็จะเห็น มนุษย์เงินเดือนที่สำเร็จและร่ำรวยจากการลงทุนทางอ้อม มันก็มีแต่ไม่มาก เพราะมนุษย์เงินเดือน ที่จะลงทุนทางอ้อมให้ประสบความสำเร็จจะต้องเสียสละ ทุ่มเท และพัฒนาตัวเอง ศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง ซึ่งโดยหลักการแล้วการลงทุนในหลักทรัพย์ให้ประสบความสำเร็จ มีองค์ประกอบ 3 ส่วน หรือ 3M คือ 1. Method รู้วิธีคัดเลือกหลักทรัพย์ รู้จังหวะการซื้อขาย 2. Money management รู้เรื่องการบริหารจัดการความเสี่ยงของเงินลงทุน และ 3. Mindset ลงทุนตามแผนมีวินัยในการลงทุน

      ถ้าเราไม่ยอมทำอะไรเลย เลือกเอาสบายเลย ผลตอบแทนที่ได้ก็จะลดลงไปเรื่อยๆ สำหรับคนส่วนใหญ่ ผมแนะนำว่าให้ลงทุนในตัวเอง พัฒนาตัวเองให้เป็นเลิศในการทำงาน (เพิ่มเงินเดือน เพิ่มรายได้ขึ้น ให้ได้ทุกๆ ปี อย่างมีนัยสำคัญ) ใช้จ่ายให้ประหยัด และนำเงินที่เหลือมาลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งแน่นอนว่าเราในฐานะผู้ลงทุนในกองทุนรวม แทบไม่ต้องทำอะไรเลย เต็มที่แค่เลือกจัดสรรสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับได้ เลือกกองทุนที่ดี (แค่นี้คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ทำเลยครับ เราน่าจะเคยถูกถามใช่ไหมครับว่า ลงทุนกองไหนดี) และมอบอำนาจการตัดสินใจต่างๆ ทั้งหมดให้ผู้จัดการกองทุนทำแทนเลย

      ก็ลงทุนผ่านกองทุนรวม ก็สามารถให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวที่ดีได้ เช่น กองทุนรวมหุ้นทั่วโลก ซึ่งคาดหวังได้ 8-10% ต่อปี

      ดังนั้น ถ้าถามว่ามนุษย์เงินเดือน วางแผนลงทุนอย่างไรที่จะสามารถได้ผลตอบแทน 20%++ ต่อปี

      ลองเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองใหม่ ดังนี้

      1. มีมนุษย์เงินเดือนที่สามารถวางแผนลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 20%++ ต่อปี ไหม

      2. ถ้าคำตอบของเราคือ มี คำถามข้อต่อไปคือ เค้าเหล่านั้นเป็นใคร

      3. เลือกว่าเราอยากเเป็นแบบใคร (หาต้นแบบ) คำถามข้อต่อไปคือ ถามตัวเองว่าเราพร้อมจะเรียนรู้และทำงานหนัก เพื่อกลายเป็นต้นแบบความสำเร็จของเราไหม

      4. ถ้าคำตอบคือพร้อมที่จะเรียนรู้และทำงานหนัก คำถามข้อต่อไปคือ ฉันจะเรียนรู้จากต้นแบบของฉันอย่างไร

      5. ถ้าเค้าสอน ก็โชคดี แต่ถ้าเค้าไม่สอน คำถามคือ เราจะแอบเรียนรู้จากต้นแบบของเราได้อย่างไร

      ผมฝากฝากข้อคิดหนึ่งของ Henry Ford ไว้นะครับ Whether you think you can or think you can't. You're Right (ไม่ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองทำได้ หรือคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ คุณคิดถูกเสมอ)

      โพสต์ใน ลงทุน
      ปิยะ สุราสาป
      ปิยะ สุราสา